รู้ไว้ไม่เสี่ยง! ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ ร้อยไหม อัพเดท 2022
ข้อควรรู้ก่อนร้อยไหม การร้อยไหม ถือเป็นการทำสวยที่นิยมกันมากในหมู่สาวไทยมานานกว่า 10 ปีแล้ว เพราะถือเป็นการยกกระชับใบหน้า เสกหน้าวีเชฟได้ทันทีหลังทำ แถมราคาก็ไม่สูงมาก ถึงแม้ว่าการร้อยไหมจะไม่ใช่การผ่าตัดแต่ก็ถือทำสวยครั้งใหญ่เหมือนกันค่ะ เพราะแพทย์จะต้องใช้ร้อยไหมดึงลงไปใต้ผิวหนังของเรา แต่บางคนก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่าการร้อยไหมนั้นมันดียังไง? ทำไมใครๆก็พากันร้อยไหม? ซึ่งทุกวันนี้เราก็ได้ยินชื่อไหมมากมาย แล้วไหมแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร? หลังทำไปจะมีผลข้างเคียงหรืออันตรายอะไรบ้าง? จะทำสวยทั้งทีเราก็ต้องศึกษากันให้ดีก่อนนะคะ ดังนั้นก่อนเราจะตัดสินใจร้อยไหมเราจะต้องมาทำความรู้จักกับการร้อยไหมกันก่อนดีกว่าค่ะ
ร้อยไหมช่วยเรื่องอะไร? แล้วใครบ้างที่ควรร้อยไหม?
การร้อยไหมเป็นวิธียกกระชับผิวหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวหนังบนใบหน้าหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่น โดยใช้ไหมละลายร้อยเข้าไปในใต้ผิวหนัง การทำเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวและมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่บริเวณรอบเส้นไหม ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง และช่วยให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณดังกล่าว นอกจากการร้อยไหมจะเป็นการย้อนอายุให้ใบหน้าตึงสวย ดูเด็กลงแล้วยังมีประโยชน์อื่นๆอีก ดังนี้
- ยกกระชับ ช่วยให้หน้าเรียวตึง มีกรอบหน้าที่ชัดเจน แก้มไม่หย่อนคล้อย เนื่องจากการร้อยไหมคือการนำเส้นไปเข้าไปใต้ผิวหนังและให้ไหมเกี่ยวเนื้อเยื่อและยกใบหน้าให้ตึงขึ้นมา
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยให้ผิวแน่นและเต่งตึง เพราะการที่เส้นไหมถูกเกี่ยวขึ้นที่ชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น
- ร้อยไหมจมูกให้โด่งสวยและทำให้ปีกจมูกมีขนาดเล็กลง เช่น คนที่ปลายจมูกไม่ได้รูป หรือต้องการปลายจมูกหยดน้ำก็สามารถร้อยไหมจมูกได้
- ร้อยไหมร่องแก้มเติมเต็มให้อิ่มเต็ม การร้อยไหมจะช่วยยกให้ร่องแก้มตื้นขึ้นและไม่หย่อนคล้อย
การร้อยไหม เหมาะกับคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมสภาพของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหลวม ไม่แน่น จนหย่อนคล้อยในที่สุด หรือไม่ได้บำรุงใบหน้าดีเท่าที่ควร อาจทำให้หน้าไม่กระชับเท่าที่ควร ซึ่งการร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังนี้
- ผิวหน้าหย่อนคล้อย
- กรอบหน้าไม่ชัดเจน
- แก้มพอง มีกระเปาะแก้ม
ร้อยไหมก้าง VS ไหมเรียบ ต่างกันอย่างไร?
ทุกวันนี้การร้อยไหมมีด้วยกันหลายแบบมาก ขึ้นอยู่กับเทคนิคและเส้นไหมที่ใช้ในการร้อยไหม ไม่ว่าจะเป็นไหมเรียบ ไหม PDO ไหมก้างปลา ไหมเงี่ยง ไหมกุหลาย ไหมทอนาโด ไหม Diamond นอกจากนี้ยังมีอีกมากมายซึ่งแต่ละคลินิกก็จะมีชื่อเรียกเส้นประเภทต่างๆ แตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งประเภทของเส้นไหมที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายจะมีด้วยกันอยู่ 2 แบบ คือ ไหมก้าง และ ไหมเรียบ ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- ไหมเรียบ
ร้อยไหมเรียบ หรือไหม PDO จะมีลักษณะเป็นเส้นไหมสั้นๆ ความยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร ตัวเส้นไหมจะเรียบ ไม่มีเงี่ยงแยกออกมา
ข้อดีของไหมเรียบ ไหมเรียบช่วยทำให้ผิวแน่น เฟิร์ม ย้อนวัยให้กลับไปเด็กขึ้นอีกครั้ง ลดริ้วรอยเล็กๆที่เกิดจากคอลลาเจนเสื่อมสภาพได้ ซึ่งผลลัพธ์ของการทำให้ผิวแน่นตึงนั้นเริ่มเห็นตั้งแต่หลังร้อยไหมทันที และจะยิ่งมากขึ้นหลังไหมละลายหมด นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับผิวด้านบนและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่าไหมก้าง
ข้อเสียของไหมเรียบ ฤทธิ์ในการยกดึงใบหน้าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับไหมก้าง เนื่องจากตัวไหมไม่มีเงี่ยง จึงไม่สามารถล็อคกับเนื้อเยื่อใต้ใต้ผิวหนังได้
- ไหมก้าง
ร้อยไหมก้าง หรือไหมเงี่ยง จะมีลักษณะเส้นที่ค่อนข้างใหญ่ เส้นไหมจะเป็นเงี่ยง จะมีทั้งรุ่นเงี่ยง 1 ทิศทางและ 2 ทิศทาง เพื่อช่วยในการล็อคเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและเป็นแกนหลักในการพยุงและดึงแก้มขึ้นอีกด้วย
ข้อดีของไหมก้าง จะเห็นผลชัดเจนในเวลา 1 เดือนหลังร้อยไหม นอกจากนี้ยังใช้เส้นไหมน้อยในการยกกระชับใบหน้า ส่วนใหญ่จะใช้ไม่ถึง 4-10 เส้น เนื่องจากเส้นไหมมีเงี่ยงจึงจะสามารถล็อคเนื้อเยื่อได้ดีกว่าไหมเรียบ และจะช่วยยกดึงใบหน้าได้ดี ทำให้กรอบหน้าชัดตึงยิ่งขึ้น
ข้อเสียของไหมก้าง เนื่องจากไหมเส้นใหญ่กว่า หลังร้อยไหมจึงมีโอกาสคลำเจอเส้นไหมบริเวณที่ร้อยได้ในช่วงแรกๆ ซึ่งอาการนี้จะค่อยๆหายไปหลังจากไหมเริ่มละลาย และเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นทดแทน
**ทั้งนี้การร้อยไหมเรียบและไหมก้าง โดยปกติสามารถทำพร้อมกันในครั้งเดียวได้ เพราะไหมก้างจะช่วยยกดึงใบหน้าที่หย่อนคล้อย ส่วนไหมเรียบจะทำให้ผิวที่หลวมตามอายุกลับมาแน่น ฟู ตึงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งไหมทั้ง 2 ชนิดจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน**
ร้อยไหมด้วย เข็มทู่ VS เข็มแหลม ต่างกันอย่างไร?
ลักษณะของเข็มที่ใช้ในการร้อยไหมนั้น จะขึ้นอยู่กับเทคนิคฝีมือและความปราณีตของคุณหมอที่ร้อย ซึ่งมีความแตกต่างกัน คือ
เข็มทู่ ปลายเข็มมีลักษณะกลมมน ไม่แหลม จะช่วยลดโอกาสที่ทำให้เส้นเลือดบาดเจ็บ เมื่อเข็มเฉียดผ่านเส้นเลือดก็จะไม่ทำให้เส้นเลือดฉีกขาด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการบวมช้ำน้อยกว่าเข็มแหลม แต่ความสามารถในการทะลุทะลวงเนื้อเยื่อที่มีความเหนียวจะต่ำ
เข็มแหลม เข็มมีลักษณะปลายแหลมคม จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะไปทิ่มให้เส้นเลือดบาดเจ็บได้ง่าย ทำให้หลังทำอาจมีอาการบวมและช้ำมากกว่าเข็มทู่ เหมาะสำหรับใช้ร้อยไหม บริเวณที่เนื้อเยื่อมีความเหนียวและแข็งแรง
ร้อยไหม ต้องใช้กี่เส้น?
จำนวนของเส้นไหมที่ใช้ร้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดของใบหน้าคนไข้เป็นหลัก ซึ่งจำนวนเส้นไหมที่ใช้ร้อยก็จะขึ้นอยู่กับประเภทของไหมอีกด้วย
ร้อยไหมก้าง หากคนไข้ที่มีใบหน้าใหญ่จะใช้ไหมประมาณ 20 เส้น ส่วนคนไข้ที่มีใบหน้าเล็ก จะใช้ไหมก้าง เริ่มต้นประมาณ 6 เส้น
ร้อยไหมเรียบ สามารถร้อยได้ทั่วใบหน้าเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่มักจะไม่เกิน 100 เส้น
ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน? แล้วเมื่อไหร่ถึงควรทำซ้ำ?
ระยะเวลาการยกกระชับของการร้อยไหม ขึ้นอยู่กับลักษณะเส้นไหมที่ร้อยไปค่ะ และสามารถทำซ้ำได้เมื่อเส้นไหมละลายหมดแล้ว โดยจับคลำไปจะไม่เจอเส้นไหม และรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง หากครบระยะเวลาแล้วรู้สึกว่าใบหน้ายังเต่งตึงอยู่ก็ยังไม่จำเป็นต้องร้อยซ้ำทันทีค่ะ
ร้อยไหมก้าง เห็นผลการยกกระชับหลังร้อยทันทีประมาณ 50% ของฤทธิ์ในการยกกระชับทั้งหมด โดยจะเห็นผลการยกกระชับครบ 100% เมื่อไหมละลายหมดที่ 1-3 เดือน ส่วนตัวไหมจะเริ่มละลายที่ 1 เดือน และละลายหมดที่ 3 เดือน ไหมก้างทั่วไปสามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี หากเป็นไหม Diamond จะสามารถอยู่ได้นานตั้งแต่ 2-5 ปี ซึ่งทำให้ลดอัตราการร้อยซ้ำได้
ร้อยไหมเรียบ ผลลัพธ์ด้านความแน่นเฟิร์มจะเห็นทันทีหลังร้อย 20% และจะเห็นผลลัพธ์ทั้งหมด 100% ของการร้อยไหมเมื่อไหมละลายประมาณ 1-2 เดือน
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนร้อยไหม
- ควรงดยา อาหารเสริม และวิตามินที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือด อย่างเช่น ยาแอสไพริน อาหารเสริมจำพวกวิตามินอี ฯลฯ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนร้อยไหม
- ผู้ที่ร้อยไหมจะต้องไม่เป็นแผลคีลอยด์ ไม่แพ้ยาชา และไม่เป็นโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดรุนแรง
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชม. ก่อนทำ
ขั้นตอนการร้อยไหม ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
- แพทย์ทำการประเมินรูปหน้า เพื่อระบุจำนวนเส้นไหมที่จะร้อย เพื่อแก้ปัญหา
- ล้างทำความสะอาดใบหน้า
- แพทย์จะทำการทายาชาและฉีดยาชาอย่างเบามือ
- แพทย์ทำการร้อยไหมตรงบริเวณที่กำหนดไว้
ดูแลตัวเองหลังร้อยไหม
- งดแผลโดนน้ำเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งแผลหลังร้อยไหมจะเป็นเพียงรูเปิดเข็มบริเวณไรเส้นผมเล็กๆ ข้างละ 1-2 จุดเท่านั้น โดยแผลจะจางหายไปเองภายใน 1-3 วัน
- รับประทานยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อตามที่แพทย์แนะนำ
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมๆ ทุกๆ 4 ชั่วโมง 1-2 วัน
- ควรงดการสัมผัสใบหน้าแรง ๆ เช่น การล้างหรือถูหน้าแรง ๆ สามารถใช้สำลีชุบน้ำเช็ดเบาๆได้
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์หลังทำ 1 สัปดาห์ เพื่อลดการบวมช้ำอักเสบ
- งดการทำทรีทเม้นท์ เลเซอร์ นวดหน้า ขัดผิว อาจทำให้แผลอักเสบจากการโดนความร้อนได้
- งดกิจกรรมที่ต้องอ้าปากกว้างๆ 2 สัปดาห์ เช่น หัวเราะแรงๆ, กัดแฮมเบอร์เกอร์ เพื่อให้ไหมได้ล็อคตัวกับเนื้อเยื่ออย่างเต็มที่
**หลังร้อยไหมก้างอาจจะได้ยินเสียงกึ๊กๆ เวลาขยับใบหน้าหรืออ้าปาก ซึ่งเจอได้ปกติและเกิดจากไหมมีการล็อคกับเนื้อเยื่อมากขึ้นในช่วงที่ไหมยังละลายไม่หมด คนไข้อาจคลำได้เส้นไหมบริเวณที่ร้อย ซึ่งอาการนี้จะค่อยๆ หายไปเองหลังไหมละลาย**
ข้อควรระวังจากการร้อยไหม
- ผู้ที่ร้อยไหมจะต้องไม่เป็นแผลคีลอยด์บริเวณใบหน้า เพราะการร้อยไหมสามารถกระตุ้นให้เกิดคีลอยด์ได้
- อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ใบหน้ายับ ผิวเป็นคลื่นได้ ซึ่งเกิดจากเทคนิคการร้อยของแพทย์
- หลังทำอาจมีอาการระบมใบหน้าเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการปวด, บวม, แดงมากกว่าปกติ อาจเกิดจากการติดเชื้ออักเสบ เกิดจากความไม่สะอาดของอุปกรณ์และการดูแลตัวเองหลังทำที่ไม่ดีพอของคนไข้ ควรกลับไปพบแพทย์หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น
- หลีกเลี่ยงการร้อยไหมที่มีส่วนประกอบของโลหะหนัก เช่น เงิน, ทองคำ ซึ่งไหมเหล่านี้จะไม่สามารถละลายได้หมด ทำให้เกิดพังผืด และมีโลหะตกค้างบริเวณใบหน้า เมื่อคนไข้มีความจำเป็นต้องเข้าเครื่อง MRI จะทำให้เบิร์นบริเวณใบหน้าได้
ร้อยไหม VS HIFU VS ผ่าตัดดึงหน้า ทำอะไรดี?
ในด้านของการยกกระชับ เราก็มีด้วยกันหลายเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นการร้อยไหม การทำ HIFU รวมไปถึงการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า ซึ่งแต่ละอย่างมีความแตกต่างกันดังนี้
- การยกกระชับ ผ่าตัดดึงหน้า > ร้อยไหม > HIFU
- การพักฟื้น ผ่าตัดดึงหน้า > ร้อยไหม > HIFU
- ระยะเวลาเห็นผล ผ่าตัดดึงหน้า > ร้อยไหม > HIFU
ความเปลี่ยนแปลงหลังร้อยไหม
ช่องทางการติดต่อ สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : http://bit.ly/30otQTa
Inbox : http://bit.ly/2VnFCJS
Line Official : http://bit.ly/2w2xNPu (@sowonclinic)
Youtube : http://bit.ly/2HlHsae
Instagram : http://bit.ly/2LJoQ8v
Hotline : 097-207-3296 , 097-180-7020 ,
02-086-3558 , 02-082-3559